haha

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การกดจุดต่างๆๆรักษาโรคได้

ลองดูนะคะมีวิธีกดจุดต่างๆๆของร่างการเพื่อสุขภาพคะพอดีมะนาวอ่านเจอมาเลยเอามาลงให้อ่านเพื่อเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆๆน้อยๆๆ...^_^

กดจุดหยุดไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่ติดต่อว่องไว บางคราวระบาดทั่วเมืองหรือทั่วโลก พอล้มเจ็บก็เป็นไข้ตัวร้อนทันที มีอาการอ่อนเพลีย เจ็บปวดตามสันหลังและแขนขา ตาแดงจากการอักเสบ ซึ่งโดยปกติจะหายได้เองภายใน ไม่กี่วัน ตามปกติแล้วไข้หวัดใหญ่จะไม่มีอันตรายมาก แต่หากมีการติดโรคแทรกซ้อนก็อาจจะเกิดอันตรายร้ายแรงได้เช่นกัน
ดังนั้นคำว่า ไข้หวัด ที่เราใช้กันในปัจจุบันนั้น เป็น การผิดเพี้ยนมาจากคำว่า ไข้วัสส์ ในอดีตนั่นเอง ซึ่งเป็นการเขียนตามเสียง มิใช่การเขียนตามตัวสะกด

การแพทย์แผนไทยได้ระบุจุดที่ใช้กดเพื่อป้องกันและรักษาไข้หวัดอย่างได้ผลไว้ดังนี้คือ

SAVE0430
1. จุดบริเวณโคนนิ้วชี้และโคนนิ้วหัวแม่มือ

2. จุดบริเวณตรงข้อมือด้านหน้าระดับหัวแม่มือลงมา

3. จุดบริเวณข้อแรกของปลายนิ้วนางและปลายนิ้วชี้

4. จุดบริเวณโคนเล็บนิ้วชี้ด้านนิ้วหัวแม่มือ

5. จุดบริเวณรอยพับโคนนิ้วก้อยที่ติดกับฝ่ามือ
6. จุดบริเวณตรงกลางข้อมือ (ด้านหลังมือ)

..............................................................................................................................................................
ความรู้เรื่องการกดจุดเป็นของเก่าแก่และมีมานานหลายพันปีซึ่งเป็นที่ยอมรับของชาวจีน ศาสตร์แห่งการกดจุดได้แพร่หลายไปทั่วโลก ทั้งในอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะในยุโรป Dr. Frank Bahr ท่านเป็นแพทย์ชาวเยอรมัน เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการกดจุดโดยเฉพาะ ท่านได้ศึกษาและเขียนตำราการกดจุดไว้ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ามีประโยชน์ เหมาะสำหรับนำมาเผยแพร่แก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพ เพราะกดจุดก็คือศาสตร์แขนงเดียวกับการฝังเข็มที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันดี แต่การกดจุดเป็นการฝังเข็มโดยไร้เข็มทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดเหมือนฝังเข็ม และไม่มีอันตรายใดๆ ต่อผู้ทำ ถ้าท่านกดถูกวิธีและมีประสิทธิภาพก็จะได้ผลในการรักษา ทั้งยังช่วยเสริมการรักษาของแพทย์ให้หายเร็วขึ้น แต่ถ้าท่านทำแล้วไม่ได้ผล ก็ไม่มีข้อเสียหายอะไร
โรคนอนไม่หลับเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก ประชาชนจำนวนไม่น้อย ต้องหันมาใช้ยานอนหลับเป็นประจำ เงินที่ใช้ซื้อยานอนหลับในปีหนึ่งๆ นับเป็นสิบๆ ล้านบาท
ปัญหายุ่งยากในการนอนไม่หลับมีอยู่ 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 อาการนอนไม่หลับ เมื่อเข้านอนจะหลับยากแต่เมื่อหลับได้แล้วจะนอนหลับจนถึงเช้าและตื่นนอนตามปกติ ประเภทที่ 2 เมื่อเข้านอนจะหลับได้ แต่ไปตื่นตอนดึก เช่น ตี 1 ตี 2 ต่อจากนั้นไม่หลับอีกเลย หรืออาจหลับได้แต่หลับยาก
  • ประเภทที่ 1 เมื่อเข้านอนจะหลับยาก
อาการ
จะพบว่า เขาเหล่านั้นมีอาการกระสับกระส่าย พลิกตัวไปมาบนเตียงเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ไม่ว่าจะใช้วิธีนับหนึ่งถึงร้อยอะไรก็แล้ว ก็ยังไม่สามารถทำให้เขาหลับได้ กว่าจะหลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน อาการเช่นนี้ ผู้ที่กำลังประสบอยู่จะรู้สึกทรมานมากสุขภาพจะทรุดโทรม และในที่สุดจำเป็นต้องพึ่งยานอนหลับ บางคนต้องกลายเป็นคนติดยานอนหลับ
สาเหตุ
เนื่องจากศูนย์ควบคุมเกี่ยวกับการนอนหลับในสมองถูกรบกวนจากการทำงานของสมองส่วนอื่น เป็นเหตุให้เกิดจากการนอนไม่หลับ ท่านควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุการนอนไม่หลับ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโรคร้ายใดๆ
สาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ ได้แก่ การับประทานอาหารที่อิ่มจนเกินไปก่อนเข้านอน จนเกิดอาการท้องอืด หรือพวกที่มีปัญหาทางจิตใจ ไม่กล้าระบายความรู้สึก เก็บกดไว้แต่เพียงผู้เดียว หรือมีจิตสรีรแปรปรวน (Psychosomatic disturbance) คือ ผู้ป่วยจะมีอาการทางกาย เช่น มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือมีความเครียดเป็นเวลานาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านจิตใจสังคม เศรษฐกิจของครอบครัว สิ่งแวดล้อมและกรรมพันธุ์ มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเส้นประสาท และสารเคมีในร่างกาย
ดังนั้นท่านควรพบแพทย์และรักษาอาการที่เป็นอยู่ และใช้วิธีกดจุดด้วยการรักษาของแพทย์ได้ เพราะการกดจุดจะช่วยเสริมการรักษาของแพทย์ให้ได้ผลเร็วขึ้น และยังป้องกันการกลับเป็นซ้ำ อีก
ตำแหน่งที่กดจุด:
จุดที่อยู่บนร่างกาย
1. จุด “อิ้งถัง” (inn-trang) จุดนี้เป็นจุดนอนหลับโดยเฉพาะ
วิธีหาจุด:
อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง จุดนี้ชาวจีนใช้มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว สามารถปิดตาของท่านได้
วิธีนวด:
นวดลงล่าง


2. จุด “อันเหมียน 2” (au-mienll)
วิธีหาจุด:
เป็นแอ่งเล็กๆ อยู่หลังหู เหนือไรผมเล็กน้อย
วิธีนวด:
นวดขึ้นบน (กดให้หนักบนหูซ้าย)


3. จุด “จ้าวไห่” (chao-hai) สำหรับสุภาพสตรี
วิธีหาจุด:
แอ่งเล็กๆ อยู่ใต้ตาตุ่ม (ด้านใน) ประมาณ 1 นิ้วมือ
วิธีนวด:
นวดขึ้นบนและเอียงไปด้านหลังเล็กน้อย

4. จุด “เชนมอ” (shen-mo) สำหรับสุภาพบุรุษได้ผลมาก
วิธีหาจุด:
อยู่ใต้ตาตุ่ม (ด้านนอก) ประมาณ ½ นิ้วมือ
วิธีนวด:
นวดเข้าหาข้อเท้า


จุดที่ใบหู
ความสำคัญของการกดจุดอยู่ที่ว่าคุณต้องทำในเวลานอน จะช่วยให้หลับได้เร็วขึ้น
หูขวา:
จุดที่ 1 อยู่บริเวณหน้าหู
วิธีนวด:
นวดขึ้นบน
จุดที่ 2 อยู่ส่วนปลายของใบหูที่ม้วนเข้า (ค่อนมาตอนล่าง)
วิธีนวด:
นวดขึ้นบน


หูซ้าย:
นวดเช่นเดียวกับหูขวา แต่ทิศทางข้าม


การรักษา
กดจุดที่ใบหูและร่างกายทำสลับวัน ครั้งแรก เย็นก่อนนอน นวดนาน 5-10 นาที ทุกวันจนกว่าอาการดีขึ้น ต่อไปนวดสัปดาห์ละครั้งเพื่อป้องกันการกลับเป็นอีก ท่านที่รักษากับแพทย์ประจำ ก่อนที่จะลดขนาดของยาลงท่านควรปรึกษาแพทย์ก่อน

ข้อแนะนำทั่วไปก่อนกดจุด
1. นั่งหรือนอนในท่าที่สบาย มือที่จะกดจุดไม่ควรจะเย็น ถ้าเย็นควรทำมือให้อุ่นก่อนโดยแช่ในน้ำอุ่น หรือใช้ผ้าห่มมือไว้
2. ถ้าท่านมีผิวหนังที่แพ้ง่าย อาจจะโลชั่นหรือแป้งฝุ่นทาบริเวณที่จะกดจุดก่อนลงมือกดจุด
3. ระหว่างทำการกดจุด บางรายอาจมีเหงื่ออกมาก ควรให้พักระหว่างการกดจุดได้
4. ในวันที่อากาศหนาวเย็น เมื่อกดจุดเสร็จเรียบร้อย ก่อนออกไปนอกบ้านควรสวมเสื้อให้อบอุ่น
ข้อแนะนำก่อนกดจุด
1. การกดจุด หมายถึง การนวดจุดนั้นๆ โดยใช้ปลายนิ้วมือที่เล็บสั้น
2. อ่านและดูรูปทีแสดงตำแหน่งการกดจุดให้เข้าใจ แล้วลองกดจุดที่อยู่บนร่างกาย สำหรับจุดที่อยู่บนใบหูแจจะใช้กระจกส่องช่วยหาจุด หรือวานให้ใครคนใดคนหนึ่งดูจุดนั้นในรูปแล้วชี้ตำแหน่งให้
3. เมื่อท่านกดถูกจุดๆ นั้นจะให้ความรู้สึกได้ดีกว่าบริเวณรอบๆ และควรกดจุดให้แรงพอ
4. นิ้วมือที่นิยมใช้กดจุด มักใช้นิ้วชี้ โดยให้ปลายนิ้วตั้งฉากกับผิวหนัง และนวดไปตามทิศทางที่ลูกศรชี้ในภาพ นวด (ถู) ออกไปเป็นระยะทาง 1 นิ้ว การนวดควรนวดประมาณ 30 ครั้งต่อ10 วินาที หรือ 70-100 ครั้งต่อนาที
5. จุดบนใบหูอาจจะใช้ปลายนิ้วก้อยหรือปลายดินสอ, ปากกามนๆ นวดได้ เพราะบริเวณใบหูเล็กและแคบกว่าร่างกาย
6. การกดจุดตามหลักของจีนได้กำหนดเวลาในการกดจุดแต่ละครั้งไว้ ดังนี้
  • เด็กอายุ 0-3 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด ½ -3 นาที
  • เด็กอายุ 3-6 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด 1-4 นาที
  • เด็กอายุ 6-12 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด 1-5 นาที
  • เด็กอายุ 1-3 ปี ใช้เวลากดทั้งหมด 3-7 นาที
  • เด็กโตตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ใช้เวลากดทั้งหมด 5-10 นาที
  • ผู้ใหญ่ ใช้เวลากดทั้งหมด 5-10-15 นาที
7. จุดที่กดอยู่บนร่างกาย ควรกดหรือนวดทั้ง 2 ข้างของลำตัว (ร่างกายจะแบ่งเป็น 2 ข้างคือข้างขวาและซ้าย)
8. ระยะต่างๆ ที่ใช้ในการวัด จะวัดจากความกว้างของนิ้วของผู้กดจุดเอง

ในครั้งนี้จะกล่าวถึงนอนไม่หลับประเภทที่สอง คือ เมื่อเข้านอนจะหลับได้ แต่มักไปตื่นตอนดึกๆ ผู้ที่กำลังประสบปัญหานี้ให้ลองกดจุดก่อนเข้านอนและตอนที่ตื่นมากลางดึกดู
ประเภทที่ 2 "เมื่อเข้านอนหลับได้ แต่มักตื่นกลางดึก”
อาการ
โดยปกติทั่วไป เมื่อคุณนอนหลับ จะตื่นนอนก็คือ เวลาเช้า แต่เมื่ออายุมากขึ้น คุณต้องการเวลาในการนอนหลับน้อยลง ประมาณ 5-6 ชั่วโมง ก็สามารถตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นได้แล้ว แต่ถ้าคุณกำลังประสบกับปัญหาการนอนตื่นกลางดึก เช่น ตื่นตี 1, ตี 2 แม้จะพยายามข่มตาให้หลับต่อก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ในรายที่เป็นอยู่นานๆ สุขภาพจะทรุดโทรม จนต้องหันไปพึ่งยานอนหลับ
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ ท่านควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการของท่านร่วมด้วย และท่านสามารถกดจุดรักษาร่วมกับการรักษาของแพทย์ จะช่วยให้การรักษาได้ผลเร็วขึ้น
ตำแหน่งที่กดจุด
จุดที่อยู่บนร่างกาย
1. จุด “ตั่นหนังเตี่ยน” (dang-nang-dian)
วิธีหาจุด:
จุดจะอยู่ต่ำกว่าส่วนล่างของหัวเข่าประมาณ 3 นิ้วมือไปทางด้านข้างของขา (ใต้ยอดกระดูกทิเบียประมาณ 3 นิ้วมือ)
วิธีนวด:
นวดลงล่าง


2. จุด “จู๋ซานหลี่” (Tsu-san-li)
วิธีหาจุด:
วางฝ่ามือบนหัวเข่า กางนิ้วออกเล็กน้อย ที่ปลายของนิ้วนาง คือ ที่ตั้งของจุด
วิธีนวด:
นวดลงล่าง


3. จุด “จงตู” (Tchong-tu)
วิธีหาจุด:
จุดกึ่งกลางระหว่างหัวเข่าและข้อเท้าด้านใน ห่างจากหน้าแข้งไปด้านหลัง 1 นิ้วมือ
วิธีนวด:
นวดขึ้นบน (นวดแรงๆ)


4. จุด “ซานจง” (tan-chung)
วิธีหาจุด:
อยู่ตรงกลางลิ้นปี่ ในระดับเดียวกับหัวนมผู้ชาย
วิธีนวด:
นวดขึ้นบน


จุดที่ใบหู
หูขวา:


1. จุดสำหรับการนอนหลับ
วิธีหาจุด:
อยู่ที่ขอบใบหู ด้านหลังหูส่วนล่าง
วิธีนวด:
นวดลงล่าง
2. จุดสำหรับกระตุ้นการทำงานของตับและถุงน้ำดี มี 2 แห่ง
วิธีหาจุด:
อยู่กึ่งกลางของแอ่งหูใหญ่และช่องเล็กๆ เหนือแอ่งหูใหญ่
วิธีนวด:
นวดขึ้นบน
หูซ้าย:


ไม่มีการกดจุด จะกดเฉพาะหูขวาเท่านั้น
การรักษา
กดจุดที่ใบหูและร่างกาย ทำสลับวัน นวดนานครั้งละ 5-10 นาทีก่อนเข้านอน ในรายที่แพทย์สั่งการรักษา ท่านต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายไม่ทำให้ท้องอืด
ข้อแนะนำทั่วไปก่อนกดจุด
1. นั่งหรือนอนในท่าที่สบาย มือที่จะกดจุดไม่ควรจะเย็น ถ้าเย็นควรทำมือให้อุ่นก่อนโดยแช่ในน้ำอุ่น หรือใช้ผ้าห่มมือไว้
2. ถ้าท่านมีผิวหนังที่แพ้ง่าย อาจจะโลชั่นหรือแป้งฝุ่นทาบริเวณที่จะกดจุดก่อนลงมือกดจุด
3. ระหว่างทำการกดจุด บางรายอาจมีเหงื่ออกมาก ควรให้พักระหว่างการกดจุดได้
4. ในวันที่อากาศหนาวเย็น เมื่อกดจุดเสร็จเรียบร้อย ก่อนออกไปนอกบ้านควรสวมเสื้อให้อบอุ่น
ข้อแนะนำก่อนกดจุด
1. การกดจุด หมายถึง การนวดจุดนั้นๆ โดยใช้ปลายนิ้วมือที่เล็บสั้น
2. อ่านและดูรูปทีแสดงตำแหน่งการกดจุดให้เข้าใจ แล้วลองกดจุดที่อยู่บนร่างกาย สำหรับจุดที่อยู่บนใบหูอาจจะใช้กระจกส่องช่วยหาจุด หรือวานให้ใครคนใดคนหนึ่งดูจุดนั้นในรูปแล้วชี้ตำแหน่งให้
3. เมื่อท่านกดถูกจุดๆ นั้นจะให้ความรู้สึกได้ดีกว่าบริเวณรอบๆ และควรกดจุดให้แรงพอ
4. นิ้วมือที่นิยมใช้กดจุด มักใช้นิ้วชี้ โดยให้ปลายนิ้วตั้งฉากกับผิวหนัง และนวดไปตามทิศทางที่ลูกศรชี้ในภาพ นวด (ถู) ออกไปเป็นระยะทาง 1 นิ้ว การนวดควรนวดประมาณ 30 ครั้งต่อ10 วินาที หรือ 70-100 ครั้งต่อนาที
5. จุดบนใบหูอาจจะใช้ปลายนิ้วก้อยหรือปลายดินสอ, ปากกามนๆ นวดได้ เพราะบริเวณใบหูเล็กและแคบกว่าร่างกาย
6. การกดจุดตามหลักของจีนได้กำหนดเวลาในการกดจุดแต่ละครั้งไว้ ดังนี้
  • เด็กอายุ 0-3 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด ½ -3 นาที
  • เด็กอายุ 3-6 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด 1-4 นาที
  • เด็กอายุ 6-12 เดือน ใช้เวลากดทั้งหมด 1-5 นาที
  • เด็กอายุ 1-3 ปี ใช้เวลากดทั้งหมด 3-7 นาที
  • เด็กโตตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ใช้เวลากดทั้งหมด 5-10 นาที
  • ผู้ใหญ่ ใช้เวลากดทั้งหมด 5-10-15 นาที
7. จุดที่กดอยู่บนร่างกาย ควรกดหรือนวดทั้ง 2 ข้างของลำตัว (ร่างกายจะแบ่งเป็น 2 ข้าง คือ ข้างขวาและซ้าย)
8. ระยะต่างๆ ที่ใช้ในการวัด จะวัดจากความกว้างของนิ้วของผู้กดจุดเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น